ทำดีคิดดีมีแต่ความสุข

ทำดีคิดดีมีแต่ความสุข
โดย สีตัล

การมองคนในแง่ดี การให้อภัยแก่คนอื่น หรือการยกระดับจิตให้สูงขึ้น ทำให้คนเรามีความเมตตากรุณาต่อผู้อื่นมากขึ้น การประพฤติเช่นนี้เป็นสิ่งที่ยากยิ่งเพราะเป็นวิสัยของปุถุชนคนที่หมกมุ่นวกวนอยู่ในวัฏฏสงสาร แต่ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่ทุกคนจะต้องใช้วิจารณญาณเท่าที่มีอยู่ ค้นดูความเป็นจริงของจิตใจว่าควรจะให้ดำเนินไปทางใด หาไม่แล้วจิตใจก็จะจมดี่งลงสู่สิ่งที่ต่ำสิ่งที่ชั่วร้าย จะสั่งสมแต่ความเห็นแก่ตัวจนเกินประมาณ ผลสุดท้ายก็จะแก้ไขได้ยากยิ่ง

โดยแท้จริงทุกคนจะต้องฝึกหัดเพื่อละความเห็นแก่ตัวจัดลงไปแล้วขวนขวายเพื่อฝึกใจ ให้เกิดความอารีเอื้ออาทรต่อผู้อื่นบ้างก็จะทำให้สังคมของเราทุกคนเป็นสังคมที่น่าอยู่ และเป็นสังคมที่น่าดูตราบนานเท่านาน ความคิดที่จะล้างผลาญกันก็จะไม่เกิดขึ้น เพราะทุกคนต่างเอื้ออาทรหวังแต่ความเกื้อกูลซึ่งกันและกัน

ฉะนั้นจะเห็นได้ว่ามนุษย์ทุกคน สัตว์ทุกจำพวกต่างก็ต้องอาศัยกัน มีความเกี่ยวข้องกัน ในฝ่ายมนุษย์ต่างเกี่ยวข้องกันในฐานะเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นลูก เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นญาติ เป็นมิตรกันขยายวงกว้างออกไปก็ต้องเกี่ยวข้องกันโดยฐานะเป็นเชื้อชาติ สัญชาติ ประเทศชาติ ตลอดถึงประชาชนพลโลกในที่สุด

หากมนุษย์เหล่านี้ไม่มีจิตคิดช่วยเหลือกันโดยในเบื้องต้นในครอบครัวพ่อแม่ไม่มีไมตรีจิตต่อลูก หรือภรรยาไม่มีไมตรีจิตต่อสามีอะไรเหล่านี้ ต่างก็มีความเห็นแก่ตัว ไม่สงเคราะห์กันไม่ช่วยเหลือกัน ก็จะทำให้สังคมมนุษย์อยู่ไม่ได้ แม้ในสัตว์บางจำพวก หรือทุกประเภทไม่ว่าประเภทไหน ๆ ก็ตาม หากมีแต่เบียดเบียนกันอย่างเดียวไม่แลเหลียวผู้ที่เกี่ยวเนื่องกันก็จะสูญพันธุ์ไปในที่สุด เพราะจุดจบของชีวิต ก็คือความตายที่ต่างฝ่ายต่างมุ่งทำร้ายกันเป็นที่ตั้ง

เพราะฉะนั้นที่มนุษย์ดำรงเผ่าพันธุ์อยู่ได้ หรือสัตว์โลกที่ยังมีเผ่าพันธุ์สืบเชื้อสายกันมาก็เพราะธรรมชาติที่เป็นนามธรรมส่วนนี้ยังมีอยู่บ้าง แต่หากจะให้มีให้มากถึงขนาดทำให้สังคมของมนุษย์หรือของสัตว์โลกประเภทไหน ๆ ก็ตามอยู่กันอย่างมีความสุข ก็จำต้องมีธรรมะ คือ ความที่จิตมีอารีต่อกัน ความหมายก็คือ มีเมตตากรุณาเป็นเครื่องดำเนินชีวิต

ตามธรรมดา เมื่อฝนโชยลงมาบ่อยครั้งติดๆ กัน พื้นดินก็จะชุ่มชื่นไปด้วยน้ำฝน บรรดาพืชพันธุ์และต้นไม้ต่างๆ ที่อับเฉา ที่เหี่ยวแห้ง เมื่อแล้งก็กลับพื้นงอกงามขึ้นมาต่างแทงหน่อ แตกใบสดเขียว น่าดูน่าชม พืชงอกเพราะน้ำ พืชงามเพราะฝน หากขาดน้ำไร้ฝนเสียแล้วก็ยากที่จะงอกและงามขึ้นได้ฉันใด สังคมมนุษย์ก็ฉันนั้น หากทุกคนมีน้ำใจ มีไมตรีต่อกัน คิดหวังดี มุ่งดีปรารถนาดีต่อกัน เพื่อให้ผู้อื่น เป็นสุขโดยเว้นจากการเบียดเบียนการมุ่งร้ายต่อกัน สังคมมนุษย์ก็จะมีแต่ความสุขทุกทั่วหน้า

ผู้มีจิตเปี่ยมด้วยความอารีมีเมตตา มากไปด้วยไมตรี ย่อมสร้างมิตรได้รอบตัว หรือปลูกมิตรไว้ทุกทิศ ทุกสถาน จึงมีแต่ผู้รักใคร่นับถือโดยทั่วไป ไม่มีศัตรูมุ่งชิงชัง และจะมีแต่ความเย็นใจ เป็นเนืองนิตย์ อันเกิดจากพืชคือ ความอารีไมตรีจิตที่คนปลูกไว้อย่างงอกงามแล้วให้ผล ท่านจึงกล่าวแนะนำไว้ว่า “ปลูกไมตรีอย่ารู้ร้างสร้างกุศลอยู่รู้โรย” หมายความว่า ให้ทำความดีอย่างสม่ำเสมอนั้นเอง

การที่คนเราจะปลูกความอารีไมตร่จิต่อคนอื่นนั้น มิใช่ว่าจะลงมือปลูกได้ทันทีเหมือนปลูกพืชแต่จะต้องฝึกหัดจิตใจของตนให้เกิดความเห็นใจขึ้นมา โดยเริ่มจากเห็นใจคนใกล้ชิดก่อนเป็นอันดับแรกแล้วขยายวงให้กว้างออกไป

คำว่า “เห็นใจ” หมายถึง “รู้จักเอาใจเขา มาใส่ใจเรา” พูดง่ายๆ ก็คือ รู้จักช่วยเหลือเกื้อกูลแก่คนอื่นบ้าง ในคราวที่เขาได้รับทุกข์ยากเดือดร้อนก็ดี ในคราวประสบเคราะห์กรรมดี เมื่อทราบเรื่องของเขาแล้วก็จะไม่นิ่งดูดายหรือเฉยเมยเสีย พยายามช่วยบำบัดปัดเป่าความทุกข์ยากของเขาเท่าที่เราจะช่วยได้ แม้จะช่วยอะไรอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้ ก็ขอเพียงแต่แสดงน้ำใจให้เขารู้ว่าตนก็พลอยเสียใจในเหตุการณ์ที่เขาต้องประสบนั้นด้วย เช่นนี้ เรียกว่า “มีความเห็นใจผู้อื่น”

คนเราที่อยู่ด้วยกัน อยู่ใกล้กัน รู้จักกัน หรือมีการงานที่เกี่ยวข้องกันจำต้องรู้จักช่วยเหลือซึ่งกันและกันบ้างตามโอกาสอันควรช่วยเหลือ แม้ช่วยเหลืออย่างอื่นไม่ได้ ก็ขอให้ฝึกหัดเป็นผู้รู้จักเห็นใจผู้อื่นบ้าง เพราะเรื่องความเห็นใจไม่ต้องใช้ทุนรอนหรือทรัพย์สินใดๆ เลย เพียงแต่แสดงน้ำใจไมตรีให้ปรากฏเท่านั้นเอง และการให้ในทำนองนี้เข้าลักษณะเสียเพื่อได้ กล่าวคือเสียเล็กน้อย แต่ได้รับความรัก ความนับถือ ความคุ้นเคย จากผู้ที่เราให้ความเห็นใจ กิริยาดังกล่าวหากพูดในแง่ของกรรมแล้วย่อมไม่ไร้ผลตรงกับคำโคลงที่ว่า

ให้ท่านท่านจักให้ ตอบสนอง
นบท่านท่านจักปอง นอบไหว้
รักท่านท่านจักครอง ความรัก เรานา
สามสิ่งนี้เว้นไว้ แต่ผู้ ทรชน

ร่างกายของคนและสัตว์ ประกอบด้วยธาตุทั้ง ๔ ปะสมกัน คือ ดิน น้ำ ลม และไฟ หากขาดธาตุใดธาตุหนึ่ง ก็จะเป็นครเป็นสัตว์อยู่ไม่ได้ ในธาตุทั้ง ๔ นี้ ล้วนสำคัญด้วยกันทั้งนั้นธาตุอื่น ๆ จะขอยกไว้ ในที่นี้จะขอกล่าวเฉพาะธาตุน้ำเท่านั้น

น้ำ ตามสภาพเป็นของเหลว คือ ซึมซาบ เอิบอาบ และมีความชุ่มเย็นเป็นลักษณะคนและสัตว์มีน้ำอยู่ในตัวหลายอย่างด้วยกันทั้งนั้น เช่น เลือด เหงื่อ ปัสสาวะ น้ำตา น้ำมัน เป็นต้น แต่ยังมีน้ำอีกชนิดหนื่ง ซึ่งเป็นนามธรรม เรียกว่า “น้ำใจ” ซึ่งผิดกว่าน้ำอื่น ๆ ทั้งสิ้น เพราะน้ำอย่างอื่นมีไว้เพื่อประโยชน์เฉพาะเจ้าของร่างกายเท่านั้น แต่น้ำใจมีไว้เพื่อประโยชน์ผู้อื่นทำให้ผู้อื่นได้ดื่มใช้

น้ำ คือ นิสัยใจคอแท้ของคน คนที่รู้จักนึกถึงผู้อื่น เรียกว่า เป็นคน “มีน้ำใน” แต่ผู้ที่คิดเฉพาะตนเองเป็นที่ตั้ง ไม่รู้จักคิดถึงผู้อื่นบ้าง เขาเรียกว่า “เป็นคนไร้น้ำใจ ขาดน้ำใจ”

คนเราจะอยู่โดดเดียวไม่ได้ เพราะคนเป็นสัตว์สังคม ฉะนั้น คนควรมีน้ำใจ คือ นึกถึงผู้อื่นบ้าง เมื่อมีน้ำใจแก่เขา เขาก็ย่อมมีน้ำใจตอบ ขาดน้ำใจไม่มีน้ำใจแก่เขา เขาก็ย่อมขาดน้ำใจ ไม่มีน้ำใจต่อเราเช่นกัน

น้ำดื่ม น้ำใช้ นิยมน้ำจืด แต่สำหรับน้ำใจคนจะจืดเหมือนน้ำธรรมดาไม่ได้ คนที่ดูดายไม่ช่วยเหลือ ไม่สงเคราะห์ ไม่เกื้อกูล แก่ญาติมิตร พวกพ้องในเมื่อถึงคราวที่ควรจะช่วยเหลือ หรือสงเคราะห์เขาย่อมเป็นคนถูกเรียกว่าเป็นคนใจจืด ไม่มีรส คือ ไม่ให้ผู้อื่นเห็นคุณและเก็บความรู้สึกนึกคิดไว้เพื่อระลึกถึงคุณ และตอบแทนในภายหน้า เป็นคนจึงควรมีน้ำใจ ให้เป็นน้ำใจที่หวาน ไม่ใช่น้ำใจที่จืดชืด

หากโลกนี้ ขาดความอารีไมตรีจิตเสียแล้ว คงจะมีแต่ความเดือดร้อยวุ่นว่าย ลูกหากไม่ได้รับความเมตตาจากการเสียสละของพ่อแม่ คงไม่สามารถจะมีชีวิตรอดมาได้ ญาติพี่น้องถ้าไม่ได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ก็ยากที่จะสร้างความเจริญได้ ถ้าไม่มีความเสียสละซึ่งกันและกันแล้ว ก็ยากที่จะสร้างความเจริญได้ ถ้าไม่มีความเสียสละซึ่งกันและกันแล้วก็จะคบกันได้ไม่นาน ผู้ใหญ่ถ้าไม่ช่วยเหลือผู้น้อยก็จะหาคนรับใช้ได้ยาก ผู้น้อยถ้าไม่ได้ช่วยเหลือผู้ใหญ่ก็จะขาดผู้สนับสนุนให้เจริญ คนแก่คนเฒ่าถ้าไม่ได้รับการปฏิบัติจากลูกหลานก็จะมีความลำบาก คนพิการทุพพลภาพ ทำมาหากินช่วยตนเองไม่ได้ ถ้าไม่ได้รับเมตตาจิตจากผู้มีใจบุญทั้งหลาย ก็จะได้รับความลำบาก ดังพุทธศาสนสุภาษิตที่ว่า “เมตตาธรรมเป็นเครื่องค้ำจุนโลก” ถ้าโลกขาดเมตตาอารีกันเมื่อใด เมื่อนั้นย่อมเกิดความวุ่นวาย เมตตานอกจากเป็นเครื่องพยุงโลกไม่ให้เกิดความวุ่นวายแล้ว ยังเป็นคุณธรรมที่จะช่วยป้องกันมิให้เกิดความริษยาแก่งแย่งชิงดี ทำลายล้างผลาญซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดี

คนเราทุกคนต้องการให้คนอื่นรัก แต่ปัญหามีอยู่ว่าทำอย่างไร เขาจึงจะรักเรา คำสอนในทางพระพุทธศาสนาสอนให้มองในมุมกลับ กล่าวคือ สอนว่าทำอย่างไรเราจึงจะเป็นคนที่น่ารักของผู้อื่น ถ้าเราทำตัวให้ผู้อื่นรักเราได้ คนอื่นจะต้องรักเราอย่างไม่มีปัญหา หมายความว่าให้ปรับปรุงตัวเราเองก่อน

สมมุติว่า เรากำลังยืนอยู่ที่หน้ากระจกบานใหญ่ ถ้าเราอยากจะเห็นเงาตัวเองในกระจกยิ้ม เราควรจะทำอย่างรื จะเอาปืนมาขู่ เอามีดมาจี้ให้เงานั้นยิ้มคงเป็นไปไม่ได้ เว้นไว้แต่เรายิ้มเสียเอง เมื่อเรายิ้มเงาในกระจกก็จะยิ้มเหมือนกัน เพราะฉะนั้น หากเราต้องการจะให้คนอื่นรักเรา ก็จำต้องทำตัวให้เป็นที่น่ารักก่อน

คนที่มีจิตใจอารี ปรารถนาดีต่อผู้อื่น ท่านเรียกว่า เป็นคนมีเมตตา เป็นมหานิยมที่ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน เมตตา แปลว่า ความรัก ซึ่งเป็นความรักที่บริสุทธิ์ คือ ไม่เจือด้วยความกำหนัดเป็นความรักที่ประกอบด้วยไมตรีจิตดังกล่าวแล้ว มีแต่ต้องการจะเห็นคนอื่นเขาได้ดีมีสุขเกษมเป็นที่ตั้งมิได้หวังผลตอบแทน เช่น ความรักที่พ่อแม่มีต่อลูก ความรักของเพื่อนที่มีต่อเพื่อน ความรักของพระมหากษัตริย์ที่มีต่อประชาราษฎร์ และความรักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงมีต่อมวลมนุษยชาติ ความรักอย่างนี้เป็นเมตตาซึ่งผิดกับความรักระหว่างเพศ หรือความรักของหนุ่มสาวซึ่งเป็นความรักที่ไม่บริสุทธิ์ เพราะเจือไปด้วยกามราคะเป็นกิเลส เป็นอกุศลทำตนและคนอื่นให้เดือดร้อน

ความรักที่เป็นเมตตา ที่มีผลเป็นความอารีเอื้อเฟื้อตลอดถึงเผื่อแผ่แก่ผู้อื่น เป็นความปรารถนาดีแก่ผู้อื่นจริง ๆ จัดเป็นกุศล เพราะทำให้ผู้มีเมตตามีจิตใจเยือกเย็น มีแต่ความสุขความเจริญเป็นที่ตั้ง ในทางพระพุทธศาสนา ได้แสดงถึงผลของบุคคลที่มีจิตเมตตา คือ เจริญอยู่ในคุณธรรมคือเมตตา ย่อมจะได้รับผลทั้งในปัจจุบันและในอนาคตภายหน้าถึง ๑๑ ประการ คือ

๑. เวลานอนก็หลับเป็นสุข
๒. เวลาตื่นอยู่ก็มีแต่ความสุข
๓. แม้หลับฝันก็ไม่ฝันลามก
๔. เป็นที่รักของบุคคลทั่วไป
๕. เป็นที่รักของเทวดา และสัตว์ทุกจำพวก
๖. เทวดาคุ้มครองรักษา
๗. ไฟไม่ไหม้ ยาพิษ และศาตราวุธทั้งหลายไม่กล้ำกรายถูกต้อง
๘. มีจิตใจมั่นคง
๙. มีหน้าตาผิวพรรณผ่องใส
๑๐. เวลาใกล้ตาย ก็มีสติ
๑๑. หากยังไม่บรรลุคุณวิเศษในปัจจุบันครั้นตายไปก็จะบังเกิดในพรหมโลก

เพราะฉะนั้น คนที่มีความรัก ความเมตตาอารีต่อกัน โดยแสดงออกมาทางกายทางวาจา และความรู้สึกในทางจิตใจ เช่น ทางกาย ได้แก่ ช่วยทำประโยชน์สุขปลดเปลื้องความทุกข์ของผู้อื่นด้วยจิตเมตตา ทางวาจา ได้แก่ ช่วยแนะนำตักเตือนห้ามปรามให้เขาเว้นชั่วและทำดีเป็นต้นด้วยจิตเมตตา ทางใจ ได้แก่ ตั้งจิตคิดไม่เบียดเบียนเขา ปรารถนาความไม่มีเวร ไม่มีภัย หวังความสุขความสวัสดีแก่เขา ตั้งใจช่วยบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่เขา ตนเองก็จะมีแต่ความสุข กล่าวคือ สุขใจเป็นการสร้างเสน่ห์ให้เกิดมีในตน ซึ่งเป็นผลของการที่มีจิตใจอารีโดยแท้

————————

%d bloggers like this: